วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คมนาคมทุ่ม3พันล้าน พัฒนา6สนามบิน เชื่อมโยงอาเซียน

         กระทรวงคมนาคม ประชุมเชิงปฏิบัติการเตรียมพร้อมการขนส่งทางอากาศรองรับประชาคมอาเซียนปี 58 เร่งทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านบาท พัฒนา 6 สนามบินภูมิภาคเชื่อมโยงประเทศอาเซียนภายใน 3 ปี ย้ำต้องเร่งปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบด้านการบินให้สอดคล้องกันทั้งอาเซียน 


       วันที่ 25 ม.ค. นายพฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การเตรียมความพร้อมด้านการขนส่งทางอากาศเพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน" ว่า การขนส่งทางอากาศครอบคลุมถึงการขนส่งทั้งสินค้าและผู้โดยสาร ซึ่งก่อนที่จะเปิดประชาคมอาเซียน จำเป็นต้องปรับปรุงกฎระเบียบการเดินอากาศต่าง ๆ ให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ของอาเซียน เพื่อให้การเชื่อมต่อการเดินทางทางอากาศเป็นไปอย่างราบรื่น

ขณะที่นายวรเดช หาญประเสริฐ อธิบดีกรมการบินพลเรือน หรือ บพ.กล่าวว่า กรมการบินพลเรือน เตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท ในการสร้างและพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาค 6 แห่งเพื่อรับการเชื่อมต่อการเดินทางกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน ประกอบด้วย การก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จ.ยะลา เพื่อเปิดพื้นที่เชื่อมต่อการเดินทางของคนในจังหวัดชายแดนใต้ ใช้งบประมาณราว 1,000 ล้านบาท คาดดำเนินการเสร็จภายในปี 58, ท่าอากาศยานแม่สอด จ.เชียงราย ใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาทในการขยายรันเวย์ และสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ คาดใช้เวลาปรับปรุงภายใน 3 ปี, ท่าอากาศยานนครราชสีมา ใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท ขยายรันเวย์เป็น 2,500 เมตร เพื่อให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ได้, ท่าอากาศยานอุบลราชธานี ใช้งบ 300 ล้านบาท ปรับปรุงลานจอด ทางขับ เพิ่มความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร และเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น โบอิ้ง 747 , ท่าอากาศยานอุดรธานี ใช้งบ 270 ล้านบาท ปรับปรุงอาคารผู้โดยสารภายใน 2 ปี และท่าอากาศยานนราธิวาส ที่ขณะนี้พร้อมใช้งานโดยไม่ต้องปรับปรุง ซึ่งการพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางของคนในอาเซียน ขณะเดียวกันเสนอว่าการพัฒนาท่าอากาศยานเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อการเป็นศูนย์กลางขนส่งทางอากาศของเออีซี ดังนั้นการจะดึงสายการบินให้เข้ามาใช้บริการท่าอากาศยานต่างๆ ของไทย จำเป็นต้องมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับสายการบินเพื่อจูงใจ พร้อมปรับระบบการบริการภายในท่าอากาศยานให้ผู้โดยสารใช้เวลาการเข้า-ออก ไม่เกิน 1 ชั่วโมง จากปัจจุบันใช้เวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง 

นายวรเดช ยังได้กล่าวต่อถึงความคืบหน้า ในการเจรจาปรับกฎระเบียบการเปิดเสรีการบินกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ว่าที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการเจรจาแบบพหุภาคี กับอีก 9 ประเทศในอาเซียน ซึ่งคาดว่าทุกประเทศจะสามารถให้สัตยาบันการเปิดเสรีขนส่งทางอากาศอาเซียน โดยไม่จำกัดจุดบิน ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวบิน และความถี่เที่ยวบินได้ก่อนเปิดเออีซี  ปี 2558 แม้ว่าขณะนี้ยังมีอีก 3 ประเทศที่ยังมีปัญหาเรื่องมาตรฐานทางการบิน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และลาว แต่ทั้งหมดก็กำลังพยายามแก้ไขปัญหา คาดว่าจะทันภายในปี 2558 สำหรับสถานการณ์ขอจดทะเบียนธุรกิจการบินในปัจจุบัน พบว่า มีผู้ประกอบการธุรกิจสายการบินรายใหม่ ยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจการบินมายังกรมการบินพลเรือนมากกว่า 10 สายการบินและยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้กรมการบินพลเรือนได้อนุมัติใบอนุญาตไปแล้ว 5 สายการบิน ส่วนใหญ่เป็นสายการบินเช่าเหมาลำ เช่น สายการบิน ยู-แอร์ไลน์ และสายการบินไทยรีจีนัลแอร์ไลน์ ฯลฯ และอยู่ระหว่างการพิจารณาเสนอขออนุมัติใบอนุญาต อีก 5 สายการบิน และยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติของสายการบินอีกนับ 10 สายการบิน ซึ่งการอนุมัติใบอนุญาตประกอบกิจการการบิน จะมีการเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องคุณสมบัติของสายการบินและมาตรการคุ้มครอง ผู้โดยสารมากขึ้นหลังจากที่ผ่านมาเกิดปัญหากับผู้โดยสารบ่อยครั้ง โดยขณะนี้กรมฯ ได้ออกมาตรการชั่วคราวมาแล้ว 3 มาตรการหลัก 

ประกอบด้วย 1.สายการบินเช่าเหมาลำ จะต้องมีการวางเงินค้ำประกันที่กรมการบินพลเรือนในอัตราที่เท่ากับค่าใช้ จ่ายของจำนวนผู้โดยสาร เพื่อรองรับหากเกิดเหตุฉุกเฉินในการให้บริการของสายการบิน 2. สายการบินเช่าเหมาลำ จะต้องมีเครื่องบินให้บริการมากกว่า 1 ลำ หากมีเพียงลำเดียวจะต้องเป็นการให้บริการแบบ Round Trip และ 3. แต่ละสายการบินจะต้องมีบริษัทพันธมิตร เพื่อช่วยเหลือผู้โดยสาร กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินกับการบริการของสายการบิน จะต้องมีเครื่องบินสำรองของบริษัทพันธมิตรเข้าให้การสนับสนุนได้ทันท่วงที และไม่กระทบต่อการใช้บริการของผู้โดยสาร ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ หลังจากได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว 

ด้านนายเจริญ วังอนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว กล่าวว่า การวางมาตรการคุ้มครองผู้โดยสารจากเที่ยวบินต่างๆ เป็นไปอย่างล่าช้า ทั้งที่เป็นสิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลสายการบินจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว ซึ่งทางสมาคมฯ ไม่ต้องการเห็นปัญหาของสายการบินที่ส่งผลกระทบกับผู้โดยสารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะจะเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นในการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยเสนอให้กรมการบินพลเรือนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้กฎระเบียบการขอจดทะเบียนและใบอนุญาตประกอบกิจการการบินให้มีความรัดกุมมากขึ้น และเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้โดยสารให้ครอบคลุม พร้อมทั้งมองว่าการเกิดขึ้นของสายการบินใหม่ ๆ ที่มีเป็นจำนวนมากในปีนี้ น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากกว่าปีที่แล้วราว 5-7%.


---------------------------------------------
อ้างอิง   https://www.thairath.co.th/content/322530



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น